Gmail เป็นหนึ่งในบริการรับส่งอีเมลที่มีชื่อเสียงที่สุด โดยมีผู้ใช้ทั่วโลกมากถึง 1.5 พันล้านคน และเป็นแอพพลิเคชันแรกที่เปิดตัวบน Google Play Store
ปัจจุบัน Gmail อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถบล็อกอีเมลจากผู้ส่งที่ไม่ต้องการได้ง่าย ๆ เพียงคลิกผ่านเมนู “บล็อกผู้ส่ง” (Block sender) ซึ่งแต่เดิมต้องทำผ่านเมนู “รายงานสแปม” (Report spam) หรือ “ยกเลิกการเป็นสมาชิก” (Unsubscribe) หรือตั้งค่าตัวกรองอีเมลที่ไม่ต้องการ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้การบล็อกอีเมลที่ไม่พึงประสงค์ง่ายขึ้นมาก
ทุกครั้งที่ผู้ใช้คลิกเพื่อบล็อกผู้ส่ง ฟีเจอร์ของ Gmail จะสร้างตัวกรองเพื่อให้อีเมลจากผู้ส่งรายนั้นถูกส่งไปยังโฟลเดอร์สแปมโดยอัตโนมัติ การตั้งค่าตัวกรองนี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนเล็กน้อย โดยปุ่ม “Filters” ได้เปลี่ยนเป็น “Blocked addresses”
การบล็อกผู้ส่งอีเมลสร้างผลกระทบต่อผู้ส่งไม่แพ้การรายงานสแปม เพราะอีเมลจะไม่เข้าสู่กล่องข้อความของผู้รับเลย แตกต่างจากการรายงานสแปมที่ Gmail จะบันทึกผู้ส่งและหมายเลข IP address ให้เป็นอีเมลน่าสงสัย และหากมีการรายงานสแปมมากขึ้นเรื่อย ๆ Gmail จะทำการตีกลับ (Bounce) อีเมลทั้งหมดจากผู้ส่งนั้นในอนาคต
วิธีการแก้ไข คุณควรตั้งคำถามกับตัวเองดังนี้:
- คุณได้ส่งอีเมลแคมเปญไปตรงกับกลุ่มเป้าหมายจริง ๆ หรือไม่?
- คุณส่งอีเมลให้ลูกค้าบ่อยเกินไปหรือไม่?
- มีการเปิดให้เลือกรับข่าวสารด้วยความสมัครใจหรือไม่?
- ลูกค้ารู้จักแบรนด์ของคุณดีแค่ไหน?
เมื่อคุณมีคำตอบสำหรับคำถามข้างบนแล้ว ควรทบทวนขั้นตอนต่างๆ ดังนี้:
- ตรวจสอบเนื้อหาก่อนส่ง: เช็คว่าเนื้อหานั้นเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าจริงๆ
- ลิงก์ยกเลิกรับข่าวสาร: มีลิงก์ที่ให้ลูกค้าสามารถยกเลิกรับข่าวสารได้ง่าย และเห็นได้ชัดเจนในท้ายอีเมลทุกฉบับ และห้ามส่งอีเมลให้กับกลุ่มลูกค้าที่แจ้ง “ไม่ต้องการรับข่าวสาร” อีกเด็ดขาด
- อัพเดทรายชื่อผู้ไม่ต้องการรับข่าวสาร: อัพเดทรายชื่อ “ผู้ไม่ต้องการรับข่าวสาร” ทันทีที่ได้รับแจ้ง
วิธีการนี้จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าฟีเจอร์บล็อกผู้ส่งจะไม่กระทบต่อการทำการตลาดของคุณ เพราะลูกค้ายังคงต้องการรับข่าวสารจากคุณต่อไป
นอกจากนี้ Gmail ยังมีการอัพเดตอื่น ๆ โดยปัจจุบันบัญชีใช้งานสามารถส่งหรือรับอีเมลที่มีไฟล์แนบขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม โดยสามารถส่งหรือรับอีเมลที่มีไฟล์แนบขนาดสูงสุด 50 เมกะไบต์ต่ออีเมล และสามารถอัพโหลดไฟล์ในอีเมลได้ไม่เกินไฟล์ละ 25 เมกะไบต์
Gmail ยังได้จัดระเบียบกล่องข้อความของลูกค้าโดยแยกกล่องข้อความออกเป็นโฟลเดอร์หลักและแท็บโปรโมชั่น ทำให้นักการตลาดมีความกังวลเกี่ยวกับการจัดระเบียบกล่องข้อความ การแยกประเภทของอีเมลนี้ใช้วิธีการที่ซับซ้อน โดยพิจารณาจากข้อมูลของผู้ส่ง, เนื้อหาอีเมล และการโต้ตอบจากผู้รับอีเมล ทำให้มีโอกาสมากขึ้นที่อีเมลทางการตลาดจะเข้าไปอยู่ในแท็บโปรโมชั่น
จากการศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้แท็บโปรโมชั่น พบว่าอัตราการเปิดอีเมลเพิ่มขึ้น, ลดการรายงานสแปม และพัฒนาการส่งให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ การจัดการกล่องข้อความของ Gmail ยังให้ผู้รับมีทางเลือกในการปิดการใช้งานระบบนี้ได้ ซึ่งมีผู้รับจำนวนมากที่เลือกปิดการใช้งานนี้
อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการส่งอีเมลทางการตลาดให้ไปเข้าสู่โฟลเดอร์หลัก คุณสามารถทำตามคำแนะนำดังต่อไปนี้:
- ใช้ที่อยู่อีเมลที่เชื่อถือได้: ส่งอีเมลจากโดเมนที่ได้รับการยืนยันและมีชื่อเสียงดี
- ปรับแต่งเนื้อหา: เนื้อหาอีเมลควรเป็นประโยชน์และเกี่ยวข้องกับผู้รับ หลีกเลี่ยงการใช้คำที่อาจถูกมองว่าเป็นสแปม เช่น “ฟรี” หรือ “โปรโมชั่นพิเศษ”
- ให้ความสำคัญกับการตั้งค่าชื่อผู้ส่งและหัวเรื่อง: ใช้ชื่อผู้ส่งและหัวเรื่องที่น่าเชื่อถือและน่าสนใจ
- ใช้ HTML และข้อความธรรมดา: ส่งอีเมลในรูปแบบที่มีทั้ง HTML และข้อความธรรมดาเพื่อให้ผู้รับสามารถเลือกดูได้ตามความสะดวก
- สร้างความน่าเชื่อถือ: ใส่ข้อมูลติดต่อที่ชัดเจนและให้ลิงก์ยกเลิกรับข่าวสารในตำแหน่งที่เห็นได้ชัด
- ทำความสะอาดรายชื่อผู้รับ: ลบรายชื่อผู้รับที่ไม่สนใจหรือไม่ได้เปิดอีเมลเป็นเวลานานออกจากรายชื่อผู้รับ เพื่อรักษาอัตราการเปิดและคลิกที่สูง
- ทดสอบและปรับปรุง: ทดสอบการส่งอีเมลเพื่อดูว่าอีเมลเข้าถึงโฟลเดอร์หลักหรือไม่ และปรับปรุงตามผลการทดสอบ
- กระตุ้นการมีส่วนร่วม: ส่งอีเมลที่กระตุ้นให้ผู้รับมีส่วนร่วม เช่น การตอบกลับ, การคลิกลิงก์ หรือการทำแบบสำรวจ
การทำตามคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสให้อีเมลทางการตลาดของคุณเข้าสู่โฟลเดอร์หลักแทนที่จะไปอยู่ในแท็บโปรโมชั่น